พระราชวังต้องห้าม
(FOrbidden city)
สิ่งก่อสร้างสีเหลืองอร่ามตาน่าเกรงขามแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า
500 ปี สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ แห่งราชวงศ์หมิงเมื่อปี ค.ศ. 1406 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 14 ปี เป็นทั้งบ้านและชีวิตของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและชิงรวมทั้งสิ้น 24
พระองค์ เหตุที่เรียกพระราชวังต้องห้าม
เนื่องมาจากในอดีตชาวจีนมีความเชื่อว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือน“บุตรแห่งสวรรค์” ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงเป็นเขตหวงห้ามมิให้สามัญชนคนธรรมดาล่วงล้ำเข้ามาได้
หรือแม้กระทั่งขุนนางชั้นสูงก็ต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษเสียก่อน
จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังและปิดกั้นพระองค์จากโลกภายนอก
จวบจนกระทั่งมีการปฏิวัติประเทศจีนเป็นสาธารณรัฐ
พระราชวังต้องห้ามจึงเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าชม
นอกจากนี้
พระราชวังต้องห้ามยังมีความโดดเด่นด้านภูมิสถาปัตย์ที่แสดงให้เห็นถึงเอกภาพในความสัมพันธ์ระหว่างตัวพระราชวังกับชุมชนอย่างชัดเจน
คือ ตัวพระราชวังตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีถนนเส้นแกนตัดตรงในแนวทิศเหนือใต้
มีกำแพงและสระน้ำล้อมรอบ ป้อมปราการหลายชั้นก่อนถึงตัวพระราชฐานชั้นใน
ภายในประกอบด้วยตำหนักสำคัญ 3 หลัง ทาสีแดง
หลังคาใช้กระเบื้องสีเหลือง มีการตกแต่งที่เน้นให้ความสำคัญขององค์จักรพรรดิด้วยการใช้ลายมังกรเป็นสื่อปัจจุบัน
พระราชวังต้องห้ามได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งกรุงปักกิ่งให้ชนรุ่นใหม่ได้ศึกษาถึงความอลังการแห่งสถาปัตยกรรมและซึมซับความรู้ฉากหนึ่งของประวัติศาสตร์จีน
จาก “นานกิง” สู่ “ปักกิ่ง”
ราว ค.ศ. 1402 ยุคต้นของราชวงศ์หมิง
จักรพรรดิหย่งเล่อทรงดำริให้ย้ายเมืองหลวงจากหนานจิงมาที่ปักกิ่ง
ซึ่งเป็นที่พระองค์ประทับอยู่ตอนที่ยังเป็นเจ้าชาย การย้ายเมืองหลวงครั้งนี้
พระองค์ทรงสั่งให้มีการอพยพประชาชนหลายแสนคนจากเมืองหนานจิง
มณฑลชานซีและมณฑลเจ้อเจียง เข้ามายังเมืองปักกิ่งเพื่อทำให้เมืองมีความเข้มแข็ง
พร้อมใช้เป็นแรงงานสำคัญในการสร้างพระราชวังต้องห้าม โดยเริ่มก่อสร้างปี ค.ศ. 1406
รูปโฉมของพระราชวังต้องห้าม
พระราชวังโบราณตั้งอยู่บนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด
720,000 ตารางเมตร จากทิศเหนือถึงทิศใต้มีความยาวประมาณ
960 เมตร จากตะวันออกถึงตะวันตกกว้างประมาณ 760 เมตร โดยมีกำแพงที่สูงกว่า 10 เมตร
ล้อมรอบพร้อมด้วยหอสังเกตการณ์ทั้ง 4 ด้าน และนอกเขตกำแพงขนาบข้างด้วยคูเมืองที่มีความลึกกว่า
6 เมตร
พระราชวังโบราณสร้างโดยยึดหลักขนบธรรมเนียมของระบบศักดินาคือ
อำนาจสูงสุดของประเทศอยู่ที่จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียว ดังนั้น
รูปแบบทางสถาปัตยกรรมและการตกแต่งจึงเน้นความใหญ่โตโอ่อ่าเพื่อให้เกิดความรู้สึกน่าเกรงขามมากกว่าเน้นด้านประโยชน์ใช้สอย
พระราชวังแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ
คือ “เฉียนเชา” เป็นพระราชวังส่วนหน้าตั้งอยู่ด้านใต้ และ
“เน่ยติง” เป็นพระราชวังส่วนใน
ตั้งอยู่ด้านเหนือ ส่วนบริเวณกึ่งกลางของพระราชวังเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งใหญ่ 3
องค์ คือ พระที่นั่งไท้เหอเตี้ยน จงเหอเตี้ยน และป่าวเหอเตี้ยน
พระที่นั่งทั้งสามทาสีแดงทั้งหลัง หลังคาใช้กระเบื้องสีเหลือง
ตัวอาคารมีความกว้างใหญ่ สูงเด่นตั้งอยู่บนระเบียบยกพื้นสูง
ระเบียงสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวยกพื้นสามชั้น แต่ละชั้นมีลูกกรงหินอ่อนเตี้ยๆ
เสาลูกกรงมีส่วนบนจำหลักเป็นรูปเมฆและมังกร
พื้นที่ต่อระหว่างเสาลูกกรงประดับด้วยแจกันดอกบัว
ที่ส่วนฐานของเสาลูกกรงเจาะเป็นช่องระบายน้ำเล็กๆ ทำเป็นรูปหัวมังกร
มีช่องเล็กๆที่ปาก
ทางขึ้นพระที่นั่งตรงระเบียงแบ่งออกเป็นสามช่องช่องกลางเป็นแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่จำหลักเป็นรูปมังกร
เพื่อให้องค์จักรพรรดิเสด็จผ่านเท่านั้น
ผังสี่เหลี่ยม
จักรพรรดิและจักรวาล
ชาวจีนเชื่อว่าพระราชวังต้องห้ามเป็นจุดที่อยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง
มีรูปลักษณ์เป็นสี่เหลี่ยม ตามความเชื่อโบราณที่ว่า “โลกมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม ขณะที่สวรรค์มีลักษณะเป็นวงกลม” ซึ่งสังเกตความแตกต่างจากการก่อสร้างสถานที่สำคัญของปักกิ่งสองแห่ง คือ
เทียนถาน (สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในเมืองปักกิ่ง)
มีรูปลักษณ์เป็นทรงกลมและมีหลังคาเป็นสีฟ้าคราม ขณะที่พระราชวังต้องห้ามจะมีลักษณะของพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมและมีหลังคาเป็นสีเหลือง
คล้ายกับสีของดินเป็นสัญลักษณ์ระบุถึงความเชื่อว่า องค์จักรพรรดิ อยู่ ณ
ศูนย์กลางของจักรวาล ผืนดินทั้งหมดในโลกนั้นเป็นของพระองค์
และผู้คนภายใต้ท้องฟ้าก็เป็นสมบัติของพระองค์
ภูมิสถาปัตย์และหลักฮวงจุ้ยโบราณ
การออกแบบและก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้เป็นไปตามหลักฮวกจุ้ยของจีนโบราณ
นอกจากจะหันหน้าไปตามหลักฮวงจุ้ยของจีนโบราณ
นอกจากจะหันหน้าไปทางทิศใต้รับเอากระแสลมอุ่นและหันหลังให้กับทิศเหนือ
ในส่วนของด้านหลังเป็นภูเขาจิ่งซานที่ช่วยบังกระแสลมเย็นในฤดูหนาว
และยังเป็นไปตามหลักที่ว่า “ที่ทำงานอยู่ด้านหน้า
ที่พักอาศัยอยู่ด้านหลัง บรรพบุรุษอยู่ทางซ้าย และเทพอยู่ทางขวา” ขณะที่อาคารด้านหน้าทำเป็นสถานที่ให้จักรพรรดิออกว่าราชการให้ข้าราชบริพารเข้าเฝ้าส่วนด้านหลังเปรียบเสมือนบ้านของจักรพรรดิ
และเป็นที่อยู่พระมเหสี นางสนม ขันที และหญิงรับใช้
สำหรับทางซ้ายเป็นวัดบรรพบุรุษที่ปัจจุบันถูกดัดแปลงให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ทางขวาเป็นแท่นบูชาเทพเจ้าผืนดินและการเพาะปลูก ซึ่งปัจจุบันนั้นเรียกว่า
เซ่อจี้ถาน อันเป็นส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะจงซาน
เก้ามังกรดั้นเมฆ
สัญลักษณ์แห่งองค์จักรพรรดิ
ณ บริเวณทางขึ้นด้านเหนือของพระที่นั่งป่าวเหอเตี้ยนจะสร้างอย่างอลังการ ด้วยการทำช่องกลางปูด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่ มีกรอบจำหลักเป็นมาลัยพันรอบถัดเข้ามาในกรอบจำหลักเป็นเกลียวคลื่นมหาสมุทร ตรงส่วนกลางจำหลักเป็นลายเก้ามังกรดั้นเมฆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
พระราชวัง “9,999.5” ห้อง
ด้วยพื้นที่ใหญ่โตของพระราชวังต้องห้าม
จึงทำให้มีการจัดสรรห้งได้มากถึง 9,999.5 ห้อง
ว่ากันว่าการจัดสรรพื้นที่ดังกล่าวนั้นสัมพันธ์กับความเชื่อของลัทธิเต๋าที่ว่าไว้ว่า
บนสวรรค์ เทพเจ้าสูงสุดแห่งลัทธิเต๋าเป็นผู้ครอบครองห้องจำนวน 10,000 ห้อง ดังนั้น เมื่อองค์จักรพรรดิเป็นบุตรสวรรค์
พระองค์จึงไม่ควรเทียบชั้นกับพระบิดา จึงต้องลดลงห้องลงครึ่งหนึ่งตามความเชื่อ
ปัจจุบันห้องดังกล่าวตั้งอยู่ส่วนทางทิศตะวันตกของพระราชวัง
พระที่นั่งหยังซิน
เป็นตำหนักหนึ่งที่มีความสำคัญมากของพระราชวังต้องห้าม
เพราะเป็นห้องบรรทมของจักพรรดิหย่งเจิ้งและจักรพรรดิองค์ต่อๆมาในราชวงศ์ชิง
ตั้งอยู่เป็นเอกเทศจากตำหนักอื่นๆ มีลักษณะเป็นรูปตัวไอ (I) โดยส่วนหน้ากับ ส่วนหลังเชื่อมถึงกัน ส่วนหน้าเป็นที่ทรงงาน
ส่วนหลังเป็นที่บรรทม มีระเบียงล้อมรอบ
อีกประการหนึ่งที่ตั้งของตำหนักหยังซินนั้นใกล้กับกองกำลังทหารมาก จึงเป็นการสะดวกหากพระองค์ต้องการปรึกษาข้อราชการกับเหล่าแม่ทัพ
ตำหนักแห่งนี้ยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวิตศาสตร์
กล่าวคือ ในสมัยจักรพรรดิถงจื้อและจักรพรรดิกวางซิ่วสู่ แห่งราชศ์วงชิง พระนางชูสีไทเฮาและพระนางฉืออันโปรดให้เหล่าขุนนางเข้าเฝ้าและกราบทูลราชการแก่นาง
โดยมีม่านสีเหลืองเป็นฉากกั้นระหว่างกลาง ดังที่เรียกกันว่า “ว่าราชการหลังม่าน”นอกจากนี้เมื่อปี ค.ศ. 1842 และ
ค.ศ.1860 ราชสำนักชิงและกองทัพต่างชาติได้มาลงนามใน
“สนธิสัญญานานกิง” และ “สนธิสัญญาปักกิ่ง” ณ ตำหนักนี้เช่นกัน
ลำดับชีวิตของพระราชวังต้องห้าม
ค.ศ. 1402 หย่งเล่อแย่งชิงบัลลังก์จากหลานชายได้สำเร็จ
ค.ศ. 1403 จักรพรรดิหย่งเล่อย้ายราชธานีจากนานกิงมาปักกิ่ง
ค.ศ. 1406 จักรพรรดิหย่งเล่อทรงสร้างพระราชวังต้องห้าม
และเสร็จสมบรูณ์ในปี 1420
ค.ศ. 1912 คณะผู้ก่อการปฏิวัติบังคับจักรพรรดิปูยีให้สละราชบังลังก์
ซึ่งขณะนั้นพระองค์มีพระ
ชนม์มายุเพียง 6 พรรษา
พระองค์ได้รับอนุญาตให้ประทับอยู่ในราชวังต้องห้ามในฐานะที่ไม่ต่างจากนักโทษ
ค.ศ. 1924 จักรพรรดิปูยีได้รับการปลดปล่อย
และเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง
ค.ศ. 1987 ฮอลลีวู้ดสร้างภาพยนตร์เรื่อง
THE Last emperor บนพื้นฐานของชีวิตจริงของผู้อาศัยในราชวังต้องห้ามนี้
ซึ่งต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ชนะเลิศรางวัลออสการ์
กว่าจะเป็น “พระราชวังต้องห้าม”
นั้นเป็นเรื่องในการก่อสร้างพระราชวังต้องห้าม
มีการเกณ์แรงงานและช่างฝีมือมาหลายครั้งมาก แต่ละครั้งหมายถึง ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคนและคนงานมากว่าหนึ่งล้านคน
โดยใช้วัสดุก่อสร้างอย่างดีที่สุดในยุคสมัยนั้น
ทั้งนี้ในการขนส่งวัสดุทั้งหมดที่มาจากทั่วสารทิศของประเทศประกอบกับสภาวะอากาศของจีนที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันตลอด
4 ฤดู นับเป็นเรื่องอยากลำบากมิใช่น้อย โดยเฉพาะการตัดและขนย้ายไม้ซุงสุดโหด
ไม้เมื่อตัดแล้วจะต้องทิ้งไว้บนเขาอย่างนั้น
รอให้น้ำป่าทะลักพัดลงมาเองจากนั้นจึงค่อยบรรทุกขึ้นเรือมาปักกิ่ง
ส่วนการขนย้ายหินนั้นยากเข็ญยิ่งกว่า
ต้องจ้างชาวไร่ชาวนาในการขนย้ายถึงสองหมื่นคนหินแต่ละก้อนยาว 10 เมตร กว้าง 3 เมตร หนา 1.6 เมตร หากเคลื่อนย้ายผ่านบริเวณที่เป็นน้ำแข็ง
ต้องราดน้ำลงไปเพื่อให้น้ำแข็งละลาย เมื่อมาถึงปักกิ่ง
ต้องใช้ม้าและลาลากหินเป็นพันๆตัว
การก่อสร้างยังใช้อิฐมากกว่าสิบล้านก้อนเพื่อปูพื้นพระราชวัง
และขั้นตอนในการปูพื้นมีมากกว่า 20 ขั้นตอน
แต่ละพื้นที่ใช้เวลาปูพื้นร่วมปีทีเดียว
อ้างอิง: เอรกรินทร์ พึ่งประชา. มรดกโลก มรดกมนุษยชาติ .พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ปาเจรา, 2550.
ที่มาของรูป: https://www.google.co.th
ที่มาของวีดีโอ: http://www.youtube.com/watch?v=d13_AOug4D4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น